ประวัติความเป็นมาของผ้าย้อมคราม
1. ประวัติความเป็นมา
ประวัติความเป็นมา
สีครามเป็นสีย้อมธรรมชาติที่เก่าแก่มาก ซึ่งมนุษย์รู้จักกันมามากกว่า 6000 ปี ประชากรที่อาศัยในเขตร้อนของโลกล้วนเคยทำสีครามจากต้นไม้ชนิดต่างๆตามภูมิภาคนั้นๆ
แต่สีครามคุณภาพดีผลิตจากเอเชีย ดังเช่น
สีครามจากอินเดียเป็นที่นิยมของคนอังกฤษมากกว่าสีครามจากเยอรมันและฝรั่งเศส
แต่การใช้สีครามลดลงเหลือเพียง 4 % ของทั่วโลกในปี
2457 ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2535 ประเทศของเราพบกับปัญหา มลพิษจากสิ่งแวดล้อม สาเหตุหนึ่ง
เกิดจากสารเคมีสังเคราะห์ซึ่งรวมถึงสีย้อมด้วย
สีย้อมผ้าส่วนใหญ่เป็นออกไซด์ของโลหะหนัก ซึ่งโลหะหนักหลายชนิดเป็นสารก่อมะเร็ง
ใส่แล้วรู้สึกร้อน ดังนั้น จึงหันมานิยมสีย้อมธรรมชาติ ซึ่งในขณะ เดียวกันก็ได้นำภูมิปัญญาเก่า ๆ
ที่ได้สืบทอดกันมาแต่สมัยโบราณจากเดิมเกือบลือหายไปแล้วนั้น กลับมาพัฒนาเป็นอาชีพหลักของลูกหลานในทุกวันนี้
บรรพบุรุษของชาวบ้านถ้ำเต่าได้อพยพมาจากฝั่งลาว
และได้นำเมล็ดครามมาด้วย โดยคุณยายป้าน คุณบุราณ
เป็นผู้นำมาและสืบทอดการทอผ้าย้อมครามให้กับลูกหลานในหมู่บ้าน
การทอผ้าย้อมครามในอดีตจะทำสีครามและย้อมผ้าครามเพื่อใช้ในการนุ่งห่ม โดยมีการปลูกต้นครามบริเวณหัวไร่ปลายนา
ต่อมาเมื่อปี 2541 ได้มีการรวมกลุ่มกันทำโดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนตำบลสามัคคีพัฒนา
และการให้คำแนะนำการบริหารจัดการกลุ่มโดยเจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชน
มีสมาชิกก่อตั้งทั้งหมด 46 คน
มีพื้นที่ปลูกครามในที่สาธารณะหมู่บ้าน จำนวน 49 ไร่ 2
งาน และปัจจุบันการสวมใส่ผ้าย้อมครามกำลังได้รับความนิยม
รวมถึงการส่งเสริมให้มีการสวมใส่ผ้าที่ย้อมด้วยสีธรรมชาติ
ทำให้กลุ่มได้ขยายผลการทอผ้าด้วยครามอีก 3 หมู่บ้าน คือ
บ้านโนนจำปา หมู่ที่ 2 ,หมู่ที่ 10 และบ้านสามัคคีพัฒนา
หมู่ที่ 9 ผ้าทอย้อมครามบ้านถ้ำเต่า
ได้รับคัดเลือกเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์เด่นของตำบล
และได้เสนอให้คณะอนุกรรมการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ของอำเภอพิจารณา
และได้รับคัดเลือกเป็นผลิตภัณฑ์ตามโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์
ปัจจุบัน ถ้าจะกล่าวถึงผ้าย้อมครามในจังหวัดสกลนครนั้น ต้องนึกถึงผ้าย้อมครามของกลุ่มแม่บ้านเกษตร
บ้านถ้ำเต่า ตำบลสามัคคีพัฒนา
อำเภออากาศอำนวย ผ้าย้อมครามเป็นที่สนใจและต้องการมาก
แต่ผ้าย้อมครามคุณภาพดี ยังออกสู่ตลาดน้อย
ขณะที่ผ้าย้อมครามคุณภาพปานกลาง ออกสู่ตลาดจำนวนมาก
ส่วนผ้าย้อมครามหรือสีครามคุณภาพดี สีจะเข้มหรือจาง ก็ต้องสีสดใส สะอาด ติดทน สีไม่ตก
ซึ่งคุณภาพเหล่านี้เป็นผลมาจาก คุณภาพของวัตถุดิบและความรู้ความชำนาญ ของผู้ผลิต
การเตรียมสีครามและย้อมสีครามมีเทคนิคพิเศษกว่าการย้อมสีธรรมชาติอื่น
1.1
ต้นคราม
ต้นครามเป็นไม้พุ่มตระกูลถั่ว ชอบน้ำน้อย แดดจัด
บริเวณที่เหมาะแก่การปลูกจึงมักเป็นที่ดอนโล่ง เช่น หัวไร่ ปลายนา
คันคูของบ่อปลาและต้องดายหญ้าเสมอ
เพื่อให้ต้นครามได้รับแดดจัดเต็มที่
ใบครามสดให้สีครามประมาณร้อยละ 0.4 หรือทั้งกิ่งทั้งใบแก่และใบอ่อนประมาณ 8 กิโลกรัม
จึงได้เนื้อครามปนปูนขาว 1 กิโลกรัม ย้อมฝ้ายได้ประมาณ 200-300 กรัม
จึงต้องปลูกต้นครามค่อนข้างมาก
ยิ่งถ้าทำผ้าย้อมครามตลอดปี เพื่อการค้า
ยิ่งต้องปลูกประมาณปีละ 5 - 6 ไร่ พอต้นครามอายุ 3 เดือน
ให้สีครามมากที่สุด ต้นครามสูงประมาณ 1-2
เมตร ใบประกอบแบบขนนกเรียงสลับ
ปลายใบเดี่ยว ใบย่อยรูปรี ดอกช่อออกตามซอกใบ
ดอกย่อยรูปดอกถั่ว
กลีบดอกสีชมพู ผลเป็นฝัก มีทั้งฝักตรงและฝักโค้ง ภายในฝักมี 7-12
เมล็ด ระบบรากเป็นระบบรากแก้ว ลำต้นประกอบด้วยข้อและปล้อง
มีตาและตาดอกเกิดขึ้นบริเวณข้อ
แล้วเกิดเป็นช่อดอกในภายหลัง
แต่ละดอกประกอบด้วยกลีบดอก 4 กลีบ เกสรตัวผู้ 10 อัน
เกสรตัวเมีย 1 อัน
เมล็ดของครามมีลักษณะสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ค่อนข้างกลม
ขนาดเล็กมีน้ำหนักเฉลี่ย 3.35-16.14 กรัมต่อ 1,000 เมล็ด
จากการทดลองใช้ใบและก้านใบของครามอายุ 2,3,4 และ 5
เดือนสกัดสีคราม พบว่าครามอายุ 3 เดือนให้ปริมาณสีครามมากที่สุด
1.1
การปลูกคราม
พื้นที่ของหมู่บ้านถ้ำเต่านั้นเป็นที่ลุ่ม ในปีหนึ่งๆ
จะมีน้ำท่วมขังอยู่ 3-4 เดือน สมัยก่อนเมล็ดพันธุ์ครามได้มาจากประเทศลาว ที่ปู่ ย่า ตา ยาย
นำมาปลูกไว้ใช้กันเอง เนื่องจากแต่ก่อน ผ้าครามเป็นผ้าของชาวนา
ใส่เฉพาะคนจนเท่านั้น ต่อมามีการปลูกกันเป็นอาชีพ สมาชิกของกลุ่มทั้ง 300 กว่าคน จะปลูกครามกันทุกบ้าน รวมแล้วกว่า
300 ไร่ต้นครามนั้นเป็นพืชล้มลุกตระกูลถั่วขนาดเล็กทรงพุ่ม
ต้นสูงประมาณ 1 เมตร มักเกิดในที่ชื้น สภาพดินร่วนปนทราย
ครามบ้านจะให้เนื้อครามมากกว่าครามป่า คราม บ้านมี 2 ชนิด
คือ ครามตรงและครามงอ นิยมปลูกโดยการว่านเมล็ดไว้ในช่วงเดือนเมษายน
ต้นครามจะใช้เวลาเจริญเติบโตในช่วงฤดูฝน ประมาณ 4-5 เดือน ส่วนยอดจะผลิดอกออกใบสีเขียวเข้ม
หากน้ำค้างที่เกาะใต้ใบครามมีสีอมน้ำเงินจึงสามารถตัดต้นครามได้ สำหรับชาวบ้านถ้ำเต่าจะปลูกต้นครามกัน 2 ช่วง
ช่วงแรก เป็นช่วงที่ฝนจะลงมา ประมาณเดือนเมษายน นับไปอีก 3 เดือน
ช่วงปลายเดือนกรกฎาคมก็สามารถนำครามนั้นมาตีครามได้แล้ว
การปลูกอีกช่วงหนึ่งคือช่วงปลายฝนต้นหนาว การ
ตัดต้นครามหลัง 3 เดือนนั้น คุณสมคิดบอก
ต้องมีเทคนิคการดูตามภูมิปัญญาพื้นบ้าน โดยให้สังเกตใต้ใบครามจะต้องมีน้ำค้างเกาะ
แสดงว่าแก่เต็มที่แล้ว การปลูกก็ไม่ยากเย็นอะไร เมื่อลงเมล็ดพันธุ์แล้วก็ใช้แกลบกับปุ๋ยชีวภาพ
ขี้วัว ขี้ควาย ห้ามใส่ปุ๋ยเคมีเด็ดขาด ถ้าใส่ลงไปจะทำให้ครามนั้นไม่เกิดสี
^-^ ^-^
ตอบลบGood!
ตอบลบไม่เคยรู้เลยคะ
ตอบลบ